บทที่ 6

เทคโนโลยีสารสนเทศ



วิวัฒนาการของเทคโนโลยีสารสนเทศ




เทคโนโลยีสารสนเทศที่ใช้ในการจัดการมากที่สุด คือ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ การใช้ระบบคอมพิวเตอร์พอจะเรียงลำดับได้ดังนี้
ยุคแรก เรียกว่า ยุคการประมวลผลข้อมูล(Data Processing Era) เพื่อใช้ในการคำนวณและการประมวลผลข้อมูล
ยุคที่ 2 มีการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการตัดสินใจดำเนินการควบคุม ติดตามผล และวิเคราะห์ผลงานของผู้บริหารระดับต่างๆ เรียกว่า                                     ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ (Management Information System MIS)
ยุคที่ 3 การใช้คอมพิวเตอร์ในการจัดการทรัพยากรสารสนเทศ (Information Resource Management) เพื่อเรียกใช้สารสนเทศที่ช่วยในการตัดสินใจนำหน่วยงานไปสู่ความสำเร็จ
ในยุคปัจจุบัน ความเจริญของเทคโนโลยีสูงมาก มีการขยายขอบเขตของการประมวลผลข้อมูลไปสู่การสร้างและการผลิตสารสนเทศทำให้สามารถสร้างทางเลือกและรูปแบบใหม่ของสินค้าและบริการ ซึ่งเรียกว่า
ยุคเทคโนโลยีสารสนเทศ(Information Technology IT) หรือยุคไอที โดยการใช้ระบบคอมพิวเตอร์และระบบการสื่อสารโทรคมนาคมเป็นเครื่องมือช่วยในการจัดทำระบบสารสนเทศ และเน้นความคิดเรื่องการให้บริการสารสนเทศแก่ผู้ใช้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นวัตถุประสงค์สำคัญ

เทคโนโลยีสารสนเทศมีพัฒนาการที่เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว มีการปรับปรุงเครื่องมือเครื่องใช้ที่เป็นประโยชน์กับงานสารสนเทศอยู่ตลอดเวลา ทำให้วงการวิชาชีพหันมาปรับปรุงกลไกในวิชาชีพของตนให้ทันกับสังคมสารสนเทศ
เพื่อให้ทันต่อกระแสโลก จึงทำให้เกิดการบริการรูปแบบใหม่ๆ ขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายผ่านอินเตอร์เน็ต การให้บริการส่งข่าวสาร SMSหรือการโหลดเพลงผ่านเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ
นอกจากนี้หน่วยงานต่างๆ ยังได้สร้างระบบงานสารสนเทศในหน่วยงานของตนเองขึ้นเป็นจำนวนมาก เช่น การทำเว็บไซด์ของหน่วยงานเพื่อใช้ประโยชน์จากสารสนเทศเหล่านั้นเพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างกว้างขวางและคุ้มค่า โดยสารสนเทศเข้ามามีบทบาทในการจัดทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อใช้ในการสื่อสาร การประชาสัมพันธ์ การปฏิบัติงาน การแก้ปัญหา หรือการตัดสินใจ เพื่อการวางแผนและการจัดการ


ดังนั้นเทคโนโลยีสารสนเทศจึงมีบทบาทและความสำคัญมากในปัจจุบัน และมีแนวโน้มที่จะมีบทบาทมากยิ่งขึ้นในอนาคต เพราะเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการดำเนินงานสารสนเทศให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นับตั้งแต่การผลิต การจัดเก็บ การประมวลผล การเรียกใช้ การสื่อสารสารสนเทศ การแลกเปลี่ยนและใช้ทรัพยากรสารสนเทศร่วมกันให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่

เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์


1. ความหมายของคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์(Computer) หมายถึง อุปกรณ์อิเลคทรอนิกที่ใช้ในการจัดการข้อมูลที่มีหน่วยประมวลผลกลาง (CPU) ทำหน้าที่ในการประมวลผลข้อมูล (คำนวณและตรรกะ) แล้วนำข้อมูลไปเก็บไว้ในหน่วยความจำ (Memory Unit) และนำข้อมูลออกมาแสดงผลทางหน่วยแสดงผลข้อมูล (Output Unit)
คุณสมบัติของคอมพิวเตอร์ คือ คอมพิวเตอร์มีความสามารถในการเก็บข้อมูลไว้ได้เป็นจำนวนมากและสามารถเรียกมาใช้งานได้เมื่อต้องการสามารถนำไปใช้กับงานได้ดังนี้
-          งานคำนวณที่สลับซับซ้อนมาก เช่น สูตรทางคณิตศาสตร์
-          งานที่มีปริมาณข้อมูลเป็นจำนวนมาก เช่น การคำนวณภาษีเงินได้
-          งานที่ต้องทำเป็นประจำ เช่น การค้นหาประวัติลูกค้า การทำบัญชีรายวัน
-          งานที่ต้องการความถูกต้องสูง เครื่องคอมพิวเตอร์จะทำตามคำสั่งได้อย่างแม่นยำ
2. วิวัฒนาการของคอมพิวเตอร์
การแบ่งวิวัฒนาการของคอมพิวเตอร์ จะแบ่งออกเป็นยุค ๆ ตามลักษณะโครงสร้างและเทคโนโลยีของเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยสามารถแบ่งได้เป็น
2.1    คอมพิวเตอร์ยุคแรก (ค.ศ. 1951-1958)
-  เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้กำลังไฟฟ้าสูง เพราะมีขนาดใหญ่ จึงมีปัญหาเรื่องความร้อน และไส้หลอดขาดบ่อย
-          ใช้วงจรอิเล็กทรอนิกส์ และหลอดสุญญากาศ
-          การทำงานใช้ภาษาเครื่อง (Machine Language)
-          คอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโลกที่ถูกใช้งานในเชิงธุรกิจ คือ UNIVAC
-          ตัวอย่างของเครื่องคอมพิวเตอร์ยุคแรก ได้แก่ มาร์ค วัน (MARK 1), อินีแอค (ENIAC), ยูนิแวค (UNIVAC)

UNIVAC                                                 ENIAC
2.2 คอมพิวเตอร์ยุคที่สอง (ค.ศ. 1959-1964)
-          เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้ทรานซิสเตอร์ (transistor) แทนหลอดสุญญากาศ
-          มีความเร็วที่สูงกว่า มีความถูกต้องแม่นยำ และประสิทธิภาพในการทำงานที่ดีกว่า
-          เครื่องมีขนาดเล็ก ใช้กำลังไฟฟ้าน้อยและราคาถูกลง
-          ใช้วงแหวนแม่เหล็กที่ทำขึ้นจากสาร ferromagnetic เป็นหน่วยเก็บความจำ
-       ในช่วงต้น ค.ศ.1960 ได้เริ่มมีอุปกรณ์เก็บข้อมูลสำรองในรูปของสื่อบันทึกแม่เหล็ก เช่น จานแม่เหล็ก และดิสก์ มาใช้ทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้โดยตรง
-          ภาษาที่ใช้เป็นภาษาระดับสูง ซึ่งเป็นภาษาที่เขียนเป็นประโยคที่มนุษย์สามารถเข้าใจได้ เช่น ภาษาฟอร์แทน ภาษาโคบอล
2.3 คอมพิวเตอร์ยุคที่สาม (ค.ศ. 1965-1971)
-          เป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ สำหรับคอมพิวเตอร์ เพราะมีการคิดค้น
วงจรรวม (Integrated Circuit) หรือ IC ซึ่งสามารถทำงานได้เท่ากับทรานซิสเตอร์หลายร้อยตัว
 -     เครื่องคอมพิวเตอร์จึงมีขนาดเล็กลง ความเร็วเพิ่มขึ้น และใช้กำลังไฟน้อย
-          โครงสร้างคอมพิวเตอร์มีการออกแบบที่ซับซ้อนขึ้น
-          ภาษาที่ใช้ได้แก่ ภาษาโคบอล (COBOL) และภาษาพีแอลวัน (PL/1)
2.4 คอมพิวเตอร์ยุคที่สี่ (ค.ศ. 1972-1980)
-          เป็นยุคของคอมพิวเตอร์ที่ใช้วงจรรวมความจุสูงมาก (Very Large Scale Integration : VLSI)
-          ขนาดของเครื่องคอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กลงหรือไมโครคอมพิวเตอร์ เป็นแบบตั้งโต๊ะ หรือพกพาได้
-          ทำงานเร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
-          ใช้สื่อข้อมูลพวกเทปแม่เหล็ก หรือ จานแม่เหล็ก
ภาษาที่ใช้เป็นภาษาใหม่ ๆ เช่น ภาษาเบสิก (BASIC) ภาษาปาสคาล (PASCAL) และภาษาซี (C) ซอฟต์แวร์มีการพัฒนามาก มีโปรแกรมสำเร็จใหเลือกใช้กันมากขึ้น
2.5 คอมพิวเตอร์ยุคที่ห้า (ค.ศ. 1980-ปัจจุบัน) คอมพิวเตอร์ในยุคนี้ใช้เพื่อช่วยในการจัดการ การตัดสินใจ และแก้ปัญหา โดยจะมีการจัดเก็บข้อมูลไว้ เมื่อต้องการใช้งานก็สามารถเรียกข้อมูลที่เก็บไว้มาใช้ในการทำงานได้
-          คอมพิวเตอร์ในยุคนี้เรียกว่า ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI)
-          มีการใช้คอมพิวเตอร์ทำงานด้านกราฟิกอย่างแพร่หลายมากขึ้น
-          ขนาดเครื่องมีแนวโน้มเล็กลงและมีความเร็วสูง เช่น โน้ตบุ้ค (Notebook)
-          การปฏิบัติงานต่าง ๆ มีการใช้คอมพิวเตอร์แทนแรงงานมนุษย์
-          ซอฟต์แวร์มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วขึ้นมาก รวมทั้งการประดิษฐ์คิดค้นหุ่นยนต์


แผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ฉบับที่ ๒) ของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๕๖ ฉบับเสนอผ่านความเห็นชอบ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมือวันที ๕ สิงหาคม ๒๕๕๒ โดย กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร ร่วมกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

เทคโนโลยีสารสนเทศในประเทศไทย




     แผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ฉบับที่ 2 ได้สานความต่อเนื่องทางนโยบายจาก IT2010 และ “แผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของประเทศไทย (ฉบับที่ 1) พ.ศ. 2545-2549” ควบคู่ไปกับการกำหนดนโยบายใหม่และการปรับให้มีจุดเน้นในบางเรื่องที่เด่นชัดขึ้นจากแผนฯ ฉบับแรก เพื่อตอบรับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี เศรษฐกิจ และสังคมที่เป็นทั้งโอกาสและความท้าทายของประเทศไทย และในขณะเดียวกัน เพื่อมุ่งแก้ไขส่วนที่ยังเป็นจุดอ่อน และต่อยอดส่วนที่เป็นจุดแข็งของประเทศ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื$อสารในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด อันจะช่วยนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายของการพัฒนาประเทศตามที่กำหนดในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ในที่สุด


เทคโนโลยีการสื่อสารโทรคมนาคม



เทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคม ใช้ในการติดต่อสื่อสารรับ/ส่งข้อมูลจากที่ไกล ๆ เป็นการส่งของข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์หรือเครื่องมือที่อยู่ห่างไกลกัน ซึ่งจะช่วยให้การเผยแพร่ข้อมูลหรือสารสนเทศไปยังผู้ใช้ในแหล่งต่าง ๆ เป็นไปอย่างสะดวก รวดเร็ว ถูกต้อง ครบถ้วน และทันการณ์ ซึ่งรูปแบบของข้อมูลที่รับ/ส่งอาจเป็นตัวเลข (Numeric Data) ตัวอักษร (Text) ภาพ (Image) และเสียง (Voice)

เทคโนโลยีที่ใช้ในการสื่อสารหรือเผยแพร่สารสนเทศ ได้แก่ เทคโนโลยีที่ใช้ในระบบโทรคมนาคมทั้งชนิดมีสายและไร้สาย เช่น ระบบโทรศัพท์, โมเด็ม, แฟกซ์, โทรเลข, วิทยุกระจายเสียง, วิทยุโทรทัศน์ เคเบิ้ลใยแก้วนำแสง คลื่นไมโครเวฟ และดาวเทียม เป็นต้น

สำหรับกลไกหลักของการสื่อสารโทรคมนาคมมีองค์ประกอบพื้นฐาน 3 ส่วน ได้แก่ ต้นแหล่งของข้อความ (Source/Sender), สื่อกลางสำหรับการรับ/ส่งข้อความ (Medium), และส่วนรับข้อความ (Sink/Decoder) ดังแผนภาพต่อไปนี้ คือ


แผนภาพแสดงกลไกหลักของการสื่อสารโทรคมนาคม

นอกจากนี้ เทคโนโลยีสารสนเทศสามารถจำแนกตามลักษณะการใช้งานได้เป็น 6 รูปแบบ ดังนี้ต่อไปนี้ คือ
  1. เทคโนโลยีที่ใช้ในการเก็บข้อมูล เช่น ดาวเทียมถ่ายภาพทางอากาศ, กล้องดิจิทัล, กล้องถ่ายวีดีทัศน์, เครื่องเอกซเรย์ ฯลฯ
  2. เทคโนโลยีที่ใช้ในการบันทึกข้อมูล จะเป็นสื่อบันทึกข้อมูลต่าง ๆ เช่น เทปแม่เหล็ก, จานแม่เหล็ก, จานแสงหรือจานเลเซอร์, บัตรเอทีเอ็ม ฯลฯ
  3. เทคโนโลยีที่ใช้ในการประมวลผลข้อมูล ได้แก่ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ทั้งฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์
  4. เทคโนโลยีที่ใช้ในการแสดงผลข้อมูล เช่น เครื่องพิมพ์, จอภาพ, พลอตเตอร์ ฯลฯ
  5. เทคโนโลยีที่ใช้ในการจัดทำสำเนาเอกสาร เช่น เครื่องถ่ายเอกสาร, เครื่องถ่ายไมโครฟิล์ม
  6. เทคโนโลยีสำหรับถ่ายทอดหรือสื่อสารข้อมูล ได้แก่ ระบบโทรคมนาคมต่าง ๆ เช่น โทรทัศน์, วิทยุกระจายเสียง, โทรเลข, เทเล็กซ์ และระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทั้งระยะใกล้และไกล

ลักษณะของข้อมูลหรือสารสนเทศที่ส่งผ่านระบบคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร ดังนี้ 
ข้อมูลหรือสารสนเทศที่ใช้กันอยู่ทั่วไปในระบบสื่อสาร เช่น ระบบโทรศัพท์ จะมีลักษณะของสัญญาณเป็นคลื่นแบบต่อเนื่องที่เราเรียกว่า "สัญญาณอนาลอก" แต่ในระบบคอมพิวเตอร์จะแตกต่างไป เพราะระบบคอมพิวเตอร์ใช้ระบบสัญญาณไฟฟ้าสูงต่ำสลับกัน เป็นสัญญาณที่ไม่ต่อเนื่อง เรียกว่า "สัญญาณดิจิตอล" ซึ่งข้อมูลเหล่านั้นจะส่งผ่านสายโทรศัพท์ เมื่อเราต้องการส่งข้อมูลจากคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยังเครื่องอื่น ๆ ผ่านระบบโทรศัพท์ ก็ต้องอาศัยอุปกรณ์ช่วยแปลงสัญญาณเสมอ ซึ่งมีชื่อเรียกว่า "โมเด็ม" (Modem)


เทคโนโลยีสารสนเทศในประเทศไทย



   เทคโนโลยีสารสนเทศได้เข้ามามีบทบาทอย่างมากในการพัฒนาคุณภาพและการดำรงชีวิตในสังคม รวมทั้งการ แข่งขันด้านเศรษฐกิจของประเทศไทยและของโลก องค์การทุกประเภทได้มีการนำเทคโนโลยี สารสนเทศเข้ามาเป็นเครื่องมือ สำคัญในทางยุทธศาสตร์และในการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ซึ่งมีผลทำให้เกิดความต้องการบุคลากร และนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างมากมายตามไปด้วย บทบาทที่สำคัญประการหนึ่งของสถาบันอุดมศึกษาทุกแห่ง ก็คือ การรับใช้สังคมและพัฒนาประเทศ ดังนั้นสถาบันอุดมศึกษาหลายแห่งได้ตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ของตนเอง และความสำคัญดังกล่าวของ เทคโนโลยีสารสนเทศ จึงได้มีการพัฒนาหลักสูตรและเปิดดำเนินการสอนทางด้านสาขาวิชา เทคโนโลยี สารสนเทศ และสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องในช่วงกว่าทศวรรษที่ผ่านมา ในประเทศไทยหลายมหาวิทยาลัยได้เล็งเห็น ความสำคัญในการผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพในสาขาวิชาดังกล่าวเป็นอย่างมากด้วยการจัดตั้งคณะหรือหน่วยจัด การศึกษาที่ดูแล รับผิดชอบโดยตรงต่อการเรียนการสอนในสาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ และสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง โดยส่วนใหญ่แล้ว ก็จะมีการตั้งชื่อคณะว่าคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ แต่อย่างไรก็ตาม บางมหาวิทยาลัยอาจจะตั้งคณะที่มีชื่อที่ใกล้เคียงกันก็ได้ อาทิเช่น คณะสารสนเทศศาสตร์ คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ คณะวิทยาการและเทคโนโลยีสารสนเทศ ในปัจจุบัน คณะเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นองค์การภาคการศึกษาที่ได้รับการยอมรับในสังคมอย่างกว้างขวางทั้งในภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรมและภาคการศึกษา นอกจากนื้ยังมีนักเรียนนักศึกษาจำนวนมากที่ให้ความสนใจในการเข้ามาศึกษาเล่าเรียน ในคณะดังกล่าว เพื่อไปประกอบวิชาชีพด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง
นับตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๙ เป็นต้นมา คณบดีคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือคณะที่เกี่ยวข้องจาก ๙ มหาวิทยาลัยได้มีการนัดพบปะเพื่อพูดคุย แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นทางด้านวิชาการ งานวิจัย และการบริการสังคม สิ่งที่เป็น รูปธรรมที่เกิดจากการพบปะพูดคุยกันในช่วงนั้น ก็คือการจัดการประชุมระดับชาติชื่อว่า National Conference on Information Technology ซึ่งได้ผลัดกันเป็นเจ้าภาพจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ยังได้มีการจัดทำวารสารงานวิจัยที่ชื่อว่า Journal of Information Science and Technology รวมทั้งการทำกิจกรรมเพื่อลดช่องว่างดิจิทัลด้วย อย่างไรก็ตาม คณบดีทั้ง ๙ สถาบันยังมีความคิดเห็นร่วมกันว่าการจัดตั้งองค์การ อิสระในรูปแบบของสภาคณบดีคณะ เทคโนโลยีสารสนเทศแห่งประเทศไทย เป็นแนวทางที่สำคัญที่จะช่วยทำให้สามารถขับเคลื่อนความเข้มแข็งทางด้านวิชาการ และงานวิจัยในสาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและที่เกี่ยวข้อง ได้เพิ่มมากขึ้นและมีความยั่งยืนต่อไป นอกจากนี้ การจัดตั้งสภาคณบดียังช่วยให้กลุ่มสถาบันอุดมศึกษามีตัวแทนที่เป็นองค์การวิชาการทางด้านสาขาเทคโนโลยี สารสนเทศ และสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องเพื่อที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ และประเทศชาติ และเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับประชาคม อาเชียนต่อไป
วัตถุประสงค์
1.  เพื่อส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาคุณภาพ มาตรฐาน และจริยธรรม ด้านวิชาการ การวิจัย และการ เรียนการสอนของคณะเทคโนโลยีสารสนเทศให้สามารถแข่งขันในระดับสากล
2.  เพื่อส่งเสริมความร่วมมือกันในทุกๆด้านระหว่างคณะเทคโนโลยีสารสนเทศที่เป็นสมาชิก
3.  เพื่อเป็นองค์การกลางในการเชื่อมโยงความต้องการด้านบุคลากรของอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศกับการผลิตบัณฑิตทุกระดับของสถาบันอุดมศึกษา
4.  เพื่อเป็นองค์การหลักทางด้านวิขาการที่ให้คำปรึกษาหรือข้อเสนอแนะเกี่ยวกับนโยบายด้าน การศึกษาเพื่อ สร้าง ความเข้มแข็งอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนให้กับการศึกษาในสาขาวิขาที่เกี่ยวข้อง กับเทคโนโลยีสารสนเทศซึ่งเป็นปัจจัย
5.  เพื่อเป็นองค์การหลักทางด้านวิขาการที่ให้คำปรึกษาหรือข้อเสนอแนะเกี่ยวกับนโยบายด้าน การศึกษาเพื่อ สร้าง ความเข้มแข็งอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนให้กับการศึกษาในสาขาวิขาที่เกี่ยวข้อง กับเทคโนโลยีสารสนเทศซึ่งเป็นปัจจัย หลักที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคมและ ประเทศชาติ
6.  เพื่อเป็นตัวแทนของสถาบันอุดมศึกษาในสาขาวิขาชีพเทคโนโลยีสารสนเทศของประเทศไทยใน การเจรจา และประสานความร่วมมือกับองค์การต่างๆ ที่เป็นส่วนราขการ รัฐวิสาหกิจและเอกชน ทั้งภายในและต่างประเทศ
กำหนดการ
๗ ตุลาคม ๒๕๕๔
ทบทวนข้อตกลงโครงการจัดตั้ง และธรรมนูญสภาคณบดีคณะเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งประเทศไทย
๘ ตุลาคม ๒๕๕๔
เห็นชอบและลงนามในเอกสารบันทึกข้อตกลงร่วม
๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๔
จัดประชุมสภาสามัญครั้งแรก เพื่อเลือกตั้งคณะกรรมการ (จะทำการกำหนดต่อไป) แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อรับทราบการจัดตั้งสภาคณบดีคณะเทคโนโลยี สารสนเทศแห่งประเทศไทย
คุณลักษณะขององค์กร
เป็นองค์การอิสระทางด้านวิชาการซึ่งประกอบด้วยสมาชิกที่มาจากหน่วยงานระดับคณะและมีชื่อเป็นคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือหน่วยงานระดับคณะที่มืชื่อเรียกเป็นอย่างอื่น หน่วยงานนั้นมีการจัดการศึกษาในสาขาวิชาทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเป็นหลัก
สถาบันอุดมศึกษาที่เป็นสมาชิกก่อตั้ง
1.  คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
2.  คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
3.  คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
4.  คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยรังสิต
5.  คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
6.  คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยศรีปทุม
7.  สำนักวิขาสารสนเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์
8.  สำนักวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
9.  คณะวิทยาการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร
10.              คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
11.              คณะเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตภูเก็ต
12.              คณะวิทยาการสารสนเทศ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
13.              คณะวิทยาการจัดการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยนครพนม

14.              คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยศิลปากร
แนวโน้มของเทคโนโลยีสารสนเทศในอนาคต
เทคโนโลยีสารสนเทศที่สำคัญในอนาคต มีดังนี้
1.  คอมพิวเตอร์ ได้มีการพัฒนาหน่วยความจำให้มีประสิทธิภาพสุงขึ้น แต่มีราคาถูกลง ซึ่งช่วยเพิ่มศักยภาพในการทำงานของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในปัจจุบันตลอดจนการนำชุดคอมพิวเตอร์ชนิดลดคำสั่งมาใช้ในการออกแบบหน่วยประเมินผล ทำให้คอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้เร็วขึ้นโดยใช้คำสั่งพื้นฐานง่ายๆ
2.  ปัญญาประดิษฐ์ เป็นการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ให้มีความสามารถในการตอบสนองกับความต้องการของมนุษย์ได้ ให้มีพฤติกรรมเลียนแบบมนุษย์ มีความเข้าใจภาษามนุษย์ รับรู้ภาษามนุษย์ได้ เช่น หุ่นยนต์ เป็นต้น
3.  ระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหาร เป็นการพัฒนาระบบสารสนเทศที่สนับสนุนผู้บริหารในงานระดับวางแผนนโยบายและกลยุทธ์ขององค์กร
4.  การจดจำเสียงเป็นการพัฒนาเพื่อให้ผู้ใช้มามารถออกคำสั่งและตอบโต้กับคอมพิวเตอร์แทนการกดแป้นพิมพ์
5.  การแลกเปลี่ยนข้อมูลอิล็กทรอนิกส์ เป็นการส่งข้อมูลจากระบบคอมพิวเตอร์หนึ่งไปสู่ระบบคอมพิวเตอร์อื่นโดยผ่านระบบสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ เช่น การทำธุรกิจ ค้าขาย ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง
6.  เส้นใยแก้วนำแสง เป็นตัวกลางที่สามารถส่งข้อมุลข่าสารได้อย่างรวดเร็ว โดยอาศัยการส่งสัญญาณแสงผ่านเส้นใยแก้วนำแสงที่มัดรวมกัน เกิดแนวคิด ทางด่วนข้อมูล ที่เชื่อมโยงระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกัน
7.  อินเทอร์เน็ต เป็นเครือข่ายที่เชื่อมโยงกันทั่วโลกได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยสมาชิกสามารถติดต่อสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้
8.  ระบบเครือข่าย เป็นระบบสื่อสารเครือข่ายที่ใช้ในระยะทางที่กำหนด ส่วนใหญ่จะอยุ่ในอาคารหรือในหน่วยงาน
9.                การประชุมทางไกล เป็นการผสมผสานกันระหว่าง คอมพิวเตอร์ เครื่องถ่ายโทรทัศน์ และ   ระบบสื่อสารโทรคมนาคม ผู้ประชุมไม่จำเป็นอยู่ในห้องประชุม ช่วยประหยัดเวลาในการเดินทางและผู้ที่อยู่ห่างไกลกันมาก
10.  โทรทัศน์ตามสายและผ่านดาวเทียม เป็นการส่งสัญญาณโทรทัศน์ผ่านสื่อต่างๆไปยังผู้ชม ข้อมูลแพร่ไปได้อย่างรวดเร็วและครอบคลุมพื้นที่กว้างขวาง
11.  เทคโนโลยีมัลติมิเดีย เป็นการนำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มาประยุกต์ใช้กับคอมพิวเตอรืในการเก็บข้อมูล เช่น รูปภาพ ข้อความ เสียง โดยสามารถนำกลับมาใช้ได้ใหม่
12.  การใช้คอมพิวเตอร์ในการฝึกอบรม เป็นการนำคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการฝึกอบรมในด้านต่างๆ หรือที่เรียกว่า คอมพิวเตอร์ช่วยสอน เพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพการเรียนรู้
13.  การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการออกแบบ ช่วยในการออกแบบผลิตภัณฑ์ รูปแบบหีบห่อ รวมทั้งด้านการออกแบบวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมให้เหมาะกับความต้องการ
14.  การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการผลิต ช่วยในการผลิตสินค้าในโรงงงานอุตสาหกรรม สามารถตรวจสอบรายละเอียดและข้อผิดพลาดของผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ได้มาตรฐาน
15.  ระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ เป็นการนำเอาระบบคอมพิวเตอร์ทางด้าน รูปภาพและข้อมูลทางภูมิศาสตร์ มาจัดทำแผนที่ในบริเวณที่สนใจ เป็นประโยชน์ในการดำเนินกิจการต่างๆ เช่น การวางแผนยุทธศาสตร์ การขนส่ง สำรวจและป้องกันภัยธรรมชาติ การช่วยเหลือและกู้ภัย เป็นต้น



สรุป 
จากที่กล่าว ในสังคมสารสนเทศ เทคโนโลยีสารสนเทศมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก คนในสังคมมีการปรับตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง คนทุกระดับอายุ เกือบทุกอาชีพมีความต้องการสารสนเทศอยู่ตลอดเวลาใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อให้สามารถนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาเป็นเครื่องมือช่วยอำนวยความสะดวกในการ ดำเนินชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาหาความรู้ การประกอบธุรกิจ การบริหารจัดการ การพักผ่อนและบันเทิง รวมทั้งการสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับชีวิตของตนเอง
แนวโน้มเทคโนโลยีการศึกษาในอนาคต
เทคโนโลยีในปัจจุบันมีวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว  ทำให้มีวัสดุ อุปกรณ์ และเทคนิควิธีการใหม่ๆ เพื่อนำมาใช้ประโยชน์อย่างไม่มีขีดจำกัดในทุกวงการ  เช่นเดียวกับวงการศึกษาที่นำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอนและการบริหารจัดการ รวมถึงใช้ในการกำหนดแนวโน้มของการใช้เทคโนโลยีเพื่อความเปลี่ยนแปลงในอนาคตว่า ควรมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้างเพื่อให้มีการใช้เทคโนโลยีอย่างได้ผล  นักเทคโนโลยีการศึกษาจึงควรทราบถึงพัฒนาการของเทคโนโลยีและแนวโน้มในอนาคตในการเรียนการสอน   ดังนี้
-                   พัฒนาการของเทคโนโลยีและการเรียนการสอน
-                   การบรรจบกันของเทคโนโลยีและสื่อการสอน
-                   ศักยภาพของการสื่อสารในสถาบันการศึกษา
-                   พัฒนาการของอีเลิร์นนิ่ง  Learning Object
-                   Grid Computing
-                   ความเป็นจริงเสมือนและสภาพแวดล้อมเชิงเสมือน
-                   การรู้จำคำพูดและการสื่อสาร
-                   บทสรุป วงการศึกษาและความเปลี่ยนแปลงในอนาคต
-                   คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์หลักในการเรียนการสอน
-                   ไอซีทีและการบูรณาการการเรียนการสอน
-                   การเรียนในสภาพแวดล้อมการเรียนรู้เชิงเสมือน
-                   การเปลี่ยนบทบาทของผู้สอนและผู้เรียน
-                   สถานศึกษาอิเล็กทรอนิกส์

พัฒนาการของเทคโนโลยีและการเรียนการสอน
       วงการต่างๆรวมถึงวงการศึกษาล้วนได้ประโยชน์อย่างมหาศาลจากวิวัฒนาการของเทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อนำมาใช้ในการปรับการดำเนินงานให้ทันสมัยสมกับยุคโลกาภิวัตน์ และเพื่อนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้เพื่อเพิ่มพูนประสิทธิผลการเรียนรู้แก่ผู้เรียน การนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ในห้องเรียนปัจจุบันจึงเกี่ยวข้องกับวิวัฒนาการของวัสดุ อุปกรณ์และวิธีการอันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการพัฒนาระบบและเทคนิคระดับสูงในการผลิตและใช้งาน
                     เทคโนโลยีที่พัฒนาและเอื้อประโยชน์ต่อการใช้งานทั้งในปัจจุบันและนับเนื่องถึงอนาคตอันใกล้จะมีมากมายหลายรูปแบบเพื่อใช้ในวงการต่างๆ  สำหรับพัฒนาการของเทคโนโลยีที่ใช้ในวงการศึกษาและการเรียนการสอนที่จะกล่าวถึง  ได้แก่
  - การบรรจบกันของเทคโนโลยีและสื่อการสอน
  ศักยภาพของการสื่อสารในสถาบันการศึกษา
  - พัฒนาการของอีเลิร์นนิ่ง : Learning Object
  - Grid Computing
  - ความเป็นจริงเสมือน
  การรู้จำคำพูดและการสื่อสาร

การบรรจบกันของเทคโนโลยีและสื่อการสอน
           การบรรจบกันของเทคโนโลยี (technological convergenceเป็นการรวมตัวกันของเทคโนโลยีให้เป็นเทคโนโลยีรูปแบบเดียวที่สามารถใช้งานได้หลายวัตถุประสงค์ในหนึ่งเดียว  ตัวอย่างเช่น
-โทรศัพท์เซลลูลาร์เพียงเครื่องเดียว สามารถใช้ทั้งการติดต่อสื่อสารทั้งเสียง ข้อความ และภาพ มีนาฬิกาบอกเวลา จับเวลา ตั้งปลุก มีสมุดนัดหมาย
คอมพิวเตอร์แบบกระเป๋าหิ้วและแบบมือถือที่นอกจากใช้ในการประมวลผลและจัดเก็บข้อมูลแล้ว ยังใช้ในการติดต่อสื่อสารบนอินเทอร์เน็ต ค้นคว้าหาข้อมูล
- อุปกรณ์สื่อสารไร้สายขนาดเล็กที่เป็นทั้งโทรศัพท์และคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ขนาดเล็กลักษณะPDA
- ปากกาที่นอกจากใช้เขียนแล้วยังสามารถบันทึกเสียง เล่นMP3 และเก็บบันทึกข้อมูลได้ในด้ามเดียว
             การบรรจบกันของเทคโนโลยีในเรื่องของสื่อการสอนจะช่วยเอื้อประโยชน์ในสถาบันการศึกษาและการเรียนการสอนได้อย่างมากในเรื่องของการจัดหาทรัพยากรและวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ ทำให้ไม่จำเป็นต้องจัดหางบประมาณเพื่อซื้อวัสดุอุปกรณ์มากมายหลายอย่างเพื่อใช้ในการถ่ายทอดเนื้อหาความรู้






ศักยภาพของการสื่อสารในสถาบันการศึกษา
   การสื่อสารบรอดแบนด์
     “บรอดแบนด์” (broadband) เป็นการเพิ่มสมรรถนะการสื่อสารในการส่งและรับข้อมูลสารสนเทศที่มีปริมาณมาก เช่น ภาพยนตร์  การประชุมทางไกล ๚ ให้ส่งผ่านได้โดยไม่มีการติดขัดในการรับส่งสัญญาซึ่งส่งได้ตั้งแต่ 1.544-55 เมกะบิตต่อวินาที
      แนวโน้มในอนาคตของสถาบันการศึกษาทั้งในระดับโรงเรียนและระดับอุดมศึกษาจำเป็นต้องมีการวางแผนในการใช้การสื่อสารบรอดแบนด์มากขึ้น  ทั้งนี้เนื่องจากการถ่ายทอดเนื้อหาความรู้ในการเรียนการสอนไม่จำกัดเฉพาะเพียงข้อความตัวอักขระและภาพนิ่งเหมือนแต่เดิมอีกต่อไป  แต่จะมีการถ่ายทอดความรู้และสื่อสารข้อมูลด้วยการเชื่อมต่อทั้งแบบเครือข่ายเฉพะที่และเครือข่ายอินเทอร์เน็ตรอบโลก


การสื่อสารไร้สาย
          สถาบันการศึกษาที่ใช้เครือข่ายไร้สายทั้งการใช้อินเทอร์เน็ตไร้สายด้วย  Wi-fi และ WiMax หรือการใช้ภายนอกห้องเรียนด้วย Bluetooth จะมีความคล่องตัวในการสื่อสารเนื่องจากสามารถเอื้ออำนวยประโยชน์ในการเรียนการสอนได้อย่างมาก
         -อิสระในการใช้งาน  การใช้อุปกรณ์ไร้สายแบบเคลื่อนที่ (mobile) ทำให้ผู้สอนเป็นอิสระไม่จำเป็นต้องนั่งอยู่กับโต๊ะทำงานตลอดเวลา  การทำงานโดยใช้ระบบเคลื่อนที่จะช่วยให้ผู้สอนมีเวลาที่ยืดหยุ่นและบริหารเวลาได้ดีขึ้น เพิ่มความสามารถในการปฏิบัติงาน
       -ประหยัดค่าใช้จ่าย  สถาบันการศึกษาที่ใช้เทคโนโลยีไร้สายจะประหยัดค่าใช้จ่ายจำนวนมากในการเดินสายในอาคารและการดูแลรักษา  และยังเหมาะสมกับบริเวณที่ยากต่อการวางสายเนื่องจากไม่จำเป็นต้องมีตัวโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายเฉพาะที่จริงๆ  เพียงแต่ต้องมีโน๊ตบุ๊คที่มีเสาอากาศไร้สาย หรือการ์ดไร้สาย และจุดเชื่อมต่อเข้าสู่เครือข่ายเท่านั้น
      -เพิ่มความสามารถในการทำงาน ด้วยการติดต่อสื่อสารข้ามพื้นที่อัตโนมัติทำให้ผู้สอนสามารถเพิ่มเวลาทำงาน เช่น การรับส่งอีเมลขณะนั่งในรถยนต์โดยไม่ต้องห่วงปัญหาเรื่องความเร็วอีกต่อไป  เครือข่ายเฉพาะที่ไร้สายจะช่วยให้ผู้สอนสามารถเข้าสู่ข้อมูลของสถาบันการศึกษาได้จากทุกแห่งทั้งในและนอกสถานศึกษา และช่วยใหเประหยัดเงินได้มากกว่าเทคโนโลยีแบบเดิมป็นอย่างมาก
        ด้วยประสิทธิภาพการใช้งานดังกล่าวจึงเป็นที่ประจักษ์ชัดว่าแนวโน้มในอนาคตของสถาบันการศึกษาทั่วทุกแห่งจะจัดงบประมาณในการสื่อสารโดยใช้เครือข่ายไร้สายมากขึ้นกว่าเดิมเพื่อเชื่อต่อคอมพิวเตอร์ทั้งของผู้สอนและผู้เรียนเข้ากับเครื่องบริการและการสื่อสารระหว่างกัน โดยการสร้างเครือข่าย Wi-fi และ WiMax เพื่อการใช้อินเทอร์เน็ตไร้สายให้ครอบคลุมบริเวณพื้นที่อาคารเรียนเพื่ออำนวยความสะดวกในการเรียนการสอน  หากเป็นการสื่อสารไร้สายระหว่างคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ร่วมอื่นๆภายในบริเวณในห้องเรียนจะเป็นการใช้เทคโนโลยีมาตรฐาน Bluetooth
       การใช้เทคโนโลยีBluetoothในห้องเรียนจะช่วยให้สภาพแวดล้อมการเรียนรู้ไม่ถูกจำกัด
อยู่เพียงระยะของสายเคเบิลที่เชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ดังแต่ก่อน   แนวโน้มของการใช้เครือข่ายไร้สายในสถาบันกาศึกษาจะเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญในการใช้คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค และ PDA ในการเรียนการสอนแทนที่คอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะแต่เดิม





พัฒนาการของอีเลิร์นนิ่ง : Learning Object
                  ทรัพยากรและบทเรียนอีเลิร์นนิ่งปกติแล้วจะมีอยู่กระจัดกระจายบนอินเทอร์เน็ต ทำให้ไม่สามารถเรียกใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ  ด้วยเหตุนี้จึงได้มีการพัฒนาอีเลิร์นนิ่งโดยการสร้างเนื้อหาในรูปแบบที่เรียกว่า  “เลิร์นนิ่งออปเจ็กต์” (learning object) แบบอิสระที่สามารถเก็บรวมอยู่ในที่เดียวกัน เพื่อแบ่งปันกันใช้ในระหว่างสถาบันการศึกษาและสามารถใช้งานได้หลายแนวทาง
        ความหมายของ “เลิร์นนิ่งออปเจ็กต์”
                 เลิร์นนิ่งออปเจ็กต์ เป็นหน่วยการสอนขนาดเล็กใช้ในอีเลิร์นนิ่งที่มีเนื้อหาเป็นอิสระในตัวเอง  ภายในเลิร์นนิ่งออปเจ็กต์แต่ละหน่วยจะมีส่วนประกอบของไฟล์ดิจิทัลรูปแบบต่างๆรวมกันอยู่ในหน่วยนั้น ผู้ใช้สามารถนำเลิร์นนิ่งออปเจ็กต์แต่ละหน่วยมาใช้ร่วมกันเพื่อเป็นบทเรียนในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
        ลักษณะของเลิร์นนิ่งออปเจ็กต์
                  เลิร์นนิ่งออปเจ็กต์เป็นสื่อทางการศึกษาที่ออกแบบและสร้างเป็น “ก้อน”(chunks) เล็กๆด้วยวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มจำนวนสถานการณ์ของการเรียนรู้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้และสามารถใช้ทรัพยากรที่มีอยู่เพื่อวัตถุประสงค์นั้น
                  เลิร์นนิ่งออปเจ็กต์ เปรียบเสมือนบล็อกที่สร้างแล้วแต่ละบล็อกที่สามารถนำมารวมกันเพื่อสรรค์สร้างใหม่เป็นบทเรียนมอดูล คอร์ส  หรือแม้แต่หลักสูตร นักออกแบบระบบ  ผู้สอน หรือผู้เรียนสามารถเลือกเลิร์นนิ่งออปเจ็กต์มาช้ได้เอง และด้วยการใช้ระบบบริหารจัดการเนื้อหาการเรียนรู้จะทำให้เพิ่มศักยภาพการใช้เลิร์นนิ่งออปเจ็กต์ใหม่ได้ตามสมรรถนะของผู้เรียนในเวลาจริงเพื่อประสิทธิภาพการเรียนรู้


         เมตาเดตาเพื่อการค้นหาเลิร์นนิ่งออปเกต์
              เนื่องจากทรัพยากรบนเว็บมีอยู่มากมายและอาจยากในการค้นหาเลิร์นนิ่งอปปเจ็กต์ที่ต้องการ  ทางออกหนึ่งในการแก้ปัญหานี้สามารถทำได้โดยการทำบัญชีรายชื่อ  ระบบบัญชีรายชื่อของเลิร์นนิ่งออปเจ็กต์ เรียกว่า “เมตาเดตา”  เมตาเดตาของออปเจ็กต์จะเป็นไฟล์ดิจิทัลซึ่งบรรจุสารสนเทศสำคัญเพื่อง่ายต่อการกำหนดตำแหน่งและการประเมินความเหมาะสม
           เลิร์นนิ่งออปเจ็กต์ได้รับการออกแบบมาให้ใช้ได้ในทุกบริบทของการศึกษา  ดังนั้นจึงมีความยืดหยุ่น ใช้ได้หลายวัตถุประสงค์ และใช้ได้ซ้ำแล้วซ้ำอีก

Grid Computing
             เป็นรูปแบบของเครือข่ายประเภทหนึ่งซึ่งไม่เหมือนกับเครือข่ายแบบเดิม grid computingจะทำงานร่วมกันโดยใช้วงจรว่างของการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ทั้งหมดในเครือข่ายเพื่อแก้ปัญหาร่วมกันอย่างเข้มข้น
           มาตรฐานและอุปกรณ์ที่ใช้ใน  grid  computing
            ในปัจจุบันกำลังได้รับการเลือกสรรและส่วนมากแล้วจะมีการสร้างขึ้นเพื่อใช้งานด้านวิทยาศาสตร์  หากนำมาใช้ในวงการศึกษาจะช่วยให้นักศึกษาและครูผู้สอนสามารถเข้าถึงข้อมูลที่แต่เดิมสงวนไว้เฉพาะมหาวิทยาลัยด้านการวิจัยเท่านั้นเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการเรียนการสอนได้
          แนวโน้มของการเรียนการสอนในอนาคตย่อมมีการใช้ grid computing
กันอย่างกว้างขวางมากขึ้นทั้งนี้เพราะการสื่อสารเพื่อแบ่งปันข้อมูลความรู้ระหว่างผู้สอน ด้วยกันเอง ระหว่างผู้เรียน  หรือระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน  การค้นคว้าทดลองทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ จะมีการแบ่งปันข้อมูลได้ง่ายขึ้น
ความเป็นจริงเสมือนและสภาพแวดล้อมเชิงเสมือน
ความหมายของ “ความเป็นจริงเสมือน”
              ความเป็นจริงเสมือน (virtual reality)  หรือที่เรียกว่า “วีอาร์” (VR) เป็นกลุ่มเทคโนโลยีเชิงโต้ตอบที่ผลักดันให้ผู้ใช้เกิดความรู้สึกของการเข้าร่วมอยู่ภายในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ได้มีอยู่จริงที่สร้างขึ้นโดยคอมพิวเตอร์
รูปแบบของความเป็นจริงเสมือน
         มี  3  รูปแบบ คือ
1.            ความเป็นจริงเสมือนแบบรับสัมผัสเต็มรูปแบบ  ผู้ใช้จะรับรู้ข้อมูลด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 อย่างเต็มรูปแบบโดยใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์เสริมพิเศษและต้องสวมใส่อุปกรณ์  เช่น  จอภาพสวมศีรษะ  ถุงมือรับรู้   และใช้ร่วมกับซอฟต์แวร์
-                   จอภาพสวมศีรษะ (HMD)  หรือที่รู้จักกันอีกชื่อหนึ่งว่า “ชุดแว่นตา”  ทำด้วยกระจกสามมิติ เรียกว่า  “stereoscopic  glasses  ให้ผู้ใช้สามารถมองเห็นสิ่งที่เป็นนามธรรมหรือที่ว่างประดิษฐ์ในลักษณะ มิติในโลกของความเป็นจริงเสมือนได้   จอภาพสวมศีรษะยังมีหูฟังในระบบที่เรียกว่า “3-D sound” เพื่อให้ฟังเสียงในระบบสามมิติจากทิศทางต่างๆโดยรอบอีกด้วย
-                   ถุงมือรับรู้ (sensor glove)    เป็นถุงมือขนาดเบาที่มีเส้นใยนำแสงเรียงเป็นแนว เมื่อสวมถุงมือนี้แล้วจะทำให้ผู้ใช้เข้าถึงสิ่งแวดล้อม  3  มิติ ถุงมือรับรู้จะทำให้ผู้ใช้จับต้องและรู้สึกถึงได้ถึงวัตถุสิ่งของซึ่งไม่มีอยู่ที่นั่นจริงๆ  นอกจากนี้ถุงมือรับรู้ยังช่วยให้ผู้ใช้มีการโต้ตอบกับวัตถุได้อีกด้วย ผู้ใช้สามารถหยิบวัตถุนั้นขึ้นมาและกระทำใดๆก็ได้  ถุงมือรับรู้ที่นิยมใช้กันจะเป็นถุงมือความดันลมที่มีเครื่องรับความรู้สึกและถุงลมเล็กๆอยู่ภายใน  ได้แก่  “ถุงมือข้อมูล” (Data Glove) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัท วีพีแอล รีเสิร์ช อินคอร์พอเรชั่น (VPL Research Inc.)
-                   ซอฟต์แวร์   การที่จะให้ได้ภาพ 3มิติ  จะต้องใช้ซอฟต์แวร์เพื่อสร้างภาพบนคอมพิวเตอร์    เพื่อให้ผู้ใช้สามารถท่องสำรวจไปในโลกเมือนจริงได้  ระบบการทำงานของซอฟต์แวร์จะจัดการฐานข้อมูลของวัตถุเสมือนและปรับให้เป็นไปตามการเคลื่อนที่ของผู้ใช้
2.            ความเป็นจริงเสมือนแบบสัมผัสบางส่วนหรือกึ่งรับสัมผัส  เป็นแบบที่นำแนวความคิดการจำลองการบินมาใช้เนื่องจากมีการประมวลผลกราฟฟิกสมรรถนะสูง หลักการทำงานคล้ายกับประเภทรับสัมผัสเต็มรูปแบบแต่มีการพัฒนาระบบจอภาพให้มีขนาดใหญ่ และมุมกว้างให้ได้ภาพที่มีคุณภาพสูงด้วยความคมชัด  1000-3000 เส้น มีรูปทรงสี
อุปกรณ์แสดงผลหลัก ได้แก่ จอภาพมอนิเตอร์ขนาดใหญ่  ระบบจอภาพขนาดกว้าง  แว่นตามองภาพ มิติ  อุปกรณ์ในส่วนข้อมูลนำเข้า  ได้แก่  แท่งควบคุม(joystick) และอุปกรณ์ควบคุมการเคลื่อนที่ในสิ่งแวดล้อม 3 มิติ
3.            ความเป็นจริงเสมือนแบบผ่านจอภาพ   รูปแบบนี้เรียกได้เป็น “ความเป็นจริงประดิษฐ์”  เป็นแบบที่ให้ประสบการณ์เสมือนจริงน้อยที่สุด  ความเป็นจริงเสมือนแบบผ่านจอภาพที่พบเห็นบ่อยและใช้งานโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์พิเศษนอกจากเมาส์ที่ใช้กับคอมพิวเตอร์  ได้แก่  Quicktime VR ที่สร้างด้วยซอฟต์แวร์ของบริษัท Apple Computer โดยใช้ภาพถ่ายมาเป็นแบบจำลองของโลก มิติ
การทำงานของความเป็นจริงเสมือน
ความเป็นจริงเสมือนนับว่าเป็นพื้นฐานของเทคโนโลยีสำหรับสร้างประสบการณ์ในการเลียนแบบโดยการใช้คอมพิวเตอร์ในการสร้าง ผู้ใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือนแบบรับสัมผัสเต็มรูปแบบต้องสวมใส่อุปกรณ์ คือ จอภาพสวมศีรษะและถุงมือรับรู้ที่ต่อกับคอมพิวเตอร์  เมื่อผู้ใช้สวมจอภาพสวมศีรษะซึ่งประกอบด้วยจอมอนิเตอร์เล็กๆ แล้ว  จอมอนิเตอร์จะเติมเต็มการเห็นทั้งหมดด้วยภาพภายในห้องในลักษณะภาพ มิติ
http://web.ku.ac.thschoolnetsnet1/network/it/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น